การบรรยายช่วง “เรื่องของคนต่างรุ่นกับความวุ่นวายของโลกหลายใบ”
การเปิดเผยสถิตและข้อมูลที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยเป็นโลกของคนหลากรุ่น ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างในโลกหลายใบ ได้แก่ โลกช่วงวัย โลกทัศน์ โลกดิจิทัล อันเป็นปัจจัยสำคัญกระตุ้นความขัดแย้งที่นำมาซึ่งประเด็นที่น่าจับตาต่างๆ ดังนี้
ดังนั้น เมื่อประชากรแต่ละช่วงวัยมีโลกทัศน์และค่านิยมทางความคิดที่แตกต่างกัน จึงเป็นเหตุให้เกิดโอกาสขัดแย้งกันได้ง่าย โดยเฉพาะการสื่อสารในโลกดิจิทัลที่ง่ายต่อการกระตุ้นเร้าทางอารมณ์ สิ่งที่น่ากังวลก็คือ จากผลสอบคะแนนของ PISA ฟ้องว่าเด็กไทยรั้งท้ายด้านการอ่านกรองข่าวเท็จ (ประเทศไทยอยู่อันดับ ที่ 78 จาก 79 อันดับ) รวมถึงสอบตกด้านทักษะดิจิทัล และทักษะทางอารมณ์ ซึ่งการจะประสานคนต่างรุ่นกับโลกหลายใบเข้าหากัน จำเป็นต้องเปิดพื้นที่การส่งเสียง-รับฟัง Echo Chamber ที่หลากหลายสำหรับคนต่างรุ่น โดยมีเป้าหมายคือการเรียนรู้ที่จะยอมรับคุณค่าความแตกต่าง และการยกระดับบทสนทนาที่เป็นมิตรกันในสังคมและโลกดิจิทัล
กิจกรรมเสวนาช่วง “ช่องว่างระหว่างวัยภาพสะท้อนความห่างกันทางอำนาจของคนต่างรุ่น”
เจาะลึกแนวคิดจับเข่าคุยกันกับคนต่างวัยอย่างไรให้ได้ผล ทำอย่างไรจึงจะสามารถเชื่อมโลกหลายใบของคนต่างรุ่น และสลายความขัดแย้งได้ เมื่อคนแต่ละรุ่นมีการมองโลกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านคุณค่า ความไว้วางใจ การรับข้อมูล หรือการแสดงออก
กิจกรรมเสวนาช่วง “แก้โจทย์ช่องว่างระหว่างวัยด้วยความเข้าใจการสื่อสารในโลกดิจิทัล”
การบอกเล่าและแบ่งปันประสบการณ์การสื่อสารกับสมาชิกครอบครัวต่างวัย และวิธีการสื่อสารเพื่อรับมือกับความขัดแย้ง จากแขกรับเชิญต่างรุ่น (Gen) 4 ท่าน
คุณต้นหลิว-เรไร สุวีรานนท์ จากเพจ “เรไรรายวัน” เพจเขียนไดอารี่เล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันของตนเองและครอบครัว
“เคล็ดลับที่ช่วยให้การสื่อสารและความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว โดยเฉพาะกับคุณตาคุณยายราบรื่นคือ การพยายามทำความเข้าใจความคิดที่แตกต่างจากเรา และการที่เรากล้าพูดว่าเราคิดอย่างไร เพราะเราสนิทกับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เด็ก และคุณตาคุณยายก็รับฟัง เราจึงกล้าจะพูดหรืออธิบายในเรื่องที่เราไม่เห็นด้วยเหมือนคุณตาคุณยายเป็นเพื่อน
นอกจากนี้คือ การทำกิจกรรมด้วยกัน เช่น เราสอนคุณตาคุณยายใช้โซเชียลมีเดียจากโทรศัทพ์มือถือ หรือชวนคุณตาคุณยายไปเที่ยวทะเลดำน้ำด้วยกัน ซึ่งทั้งสองก็เปิดใจที่จะเรียนรู้โลกของเรา ซึ่งจริงๆ แล้วผู้สูงอายุสามารถทำกิจกรรมกับวัยอย่างเราได้ แค่ลองสร้างโอกาสให้พวกท่าน พอมีกิจกรรมทำด้วยกัน เราทำให้เราพูดคุยกัน เข้าใจกันมากขึ้น”
คุณเก้า-วรเกียรติ นิ่มมาก จากเพจ “ตายายสอนหลาน” เล่าประสบการณ์การทำงานร่วมกับคุณตาคุณยายของตน
“ถ้าเรามองว่าผู้สูงอายุต้องอยู่บนหิ้งตลอด ก็จะทำให้เรารู้สึกห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับผมคิดว่าคุณตาคุณยายเหมือน ‘พี่รหัส’ ที่เราจะมีความเคารพว่าเขาเป็นรุ่นพี่ แต่ก็มีความเป็นเพื่อนที่สามารถพูดคุยบอกเล่าหรือทำกิจกรรมด้วยกันได้ แต่ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า ผู้สูงวัยกับเรามีชุดความคิดและประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ถ้าเรายังอยากรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับอีกฝ่าย เราต้องพยายามปรับจูน โดยอาจเริ่มต้นจากการหาสิ่งที่ชอบคล้ายหรือเหมือนกันมาเป็นสื่อกลาง หรือการช่วยเหลือในสิ่งที่เรารู้ เพราะผู้ใหญ่จะเริ่มเปิดใจกับเราหากเราสามารถช่วยแก้ปัญหาให้เขาได้ เขาจะเริ่มเกิดความไว้วางใจ
คุณตาคุณยายของผมมีความเป็นผู้สูงวัยยุคใหม่ที่เปิดใจและเปิดโลก อยากมีส่วนร่วมกับผมเมื่อผมชวนเขาถ่ายคลิปวิดีโอ หรือทำสิ่งแปลกใหม่ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เขารู้สึกว่ามีคุณค่ามากขึ้น แต่เราก็ต้องเข้าใจขีดจำกัดของผู้สูงวัยด้วยว่า เขาทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน
ส่วนรุ่นลูกอย่างเราสิ่งที่ต้องการจากผู้ใหญ่ในครอบครัวคือ คำพูดสนับสนุนให้กำลังใจในสิ่งที่เราฝันหรืออยากทำ หากพูดไปแล้วถูกตอบกลับมาว่า “ไม่ดี อย่าทำ เสียเวลา” อยู่เรื่อยๆ สายใยก็จะถูกลดทอนลง เกิดช่องว่างที่ทำให้พูดคุยกันน้อยลงและมีอคติเกิดขึ้นในที่สุดได้
หากเราทุกคนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการให้เกียรติกัน รู้สิทธิ หน้าที่ และบทบาทของตัวเอง ปัญหากระทบกระทั่งทางวาจาและทางโลกโซเชียลมิเดียก็จะน้อยลง”
หมอโอ๋-ผศ.พญ จิราภรณ์ อรุณากูร จากเพจ “เลี้ยงลูกนอกบ้าน” เล่าถึงประสบการณ์การรับมือการโต้เถียงปะทะคารมกันในเพจของคนต่างยุคสมัยในการเลี้ยงดูบุตรหลาน รวมถึงปัญหาความไม่เข้าใจกันระหว่างพ่อแม่ลูก
“ในเพจมักจะเห็นการโต้เถียงกันทางความคิดของพ่อแม่ระหว่างค่านิยมการเลี้ยงลูกแบบเก่ากับแบบใหม่ กับเรื่องของเยาวชน โดยเฉพาะช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมือง ซึ่งโดยส่วนตัวเรามองว่าเป็นเรื่องดีที่เพจของเราเป็นพื้นที่ถกเถียง ซึ่งเราก็พยายามถ่ายทอดในมุมมองของหมอเวชศาสตร์วัยรุ่น เป็นกระบอกเสียงให้ผู้ใหญ่เข้าใจว่า เรากับเด็กเติบโตมากับชุดคุณค่าคนละชุดกันแทบจะทุกเรื่อง เช่น เรื่องการอยู่ก่อนแต่ง เรื่องอนาคตของลูกกับความหวังของพ่อแม่ ซึ่งการแก้ปัญหาคือ เราก็ต้องมานั่งคิดว่าสิ่งใดที่แต่ละคนให้คุณค่า กับการทำความเข้าใจและปรับตัวในโลกที่หมุนไปทุกวัน
“วิธีสื่อสารทำความเข้าใจกันคือ ไม่ควรคุยช่วงที่ต่างฝ่ายต่างอารมณ์ปะทุ และไม่ควรคิดว่า “ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคุยก็ได้” เพราะความคิดนี้เป็นตัวบ่อนทำลายความสัมพันธ์ระยะยาว เราควรมองว่านี่เป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ ไม่มีใครถูกหรือผิดอยู่ตลอด สิ่งสำคัญคือ อย่าใช้อารมณ์คุยกัน และอย่าถอดใจที่จะคุยกัน มองในแง่ดีคือ การทำเรายังถกเถียงกัน หมายความว่า อีกฝ่ายยังเห็นว่าเราสำคัญกับเขา และอย่าให้อำนาจทางวัยมาขัดขวาง ว่าเด็กต้องฟังผู้ใหญ่ ซึ่งเราอาจจะได้เรียนรู้สิ่งใหม่จากเด็กก็ได้
ความเห็นอกเห็นใจกัน (Empathy) การรับฟังด้วยหัวใจ (Expressive Communication) การให้ความเท่าเทียม (Equality) การสื่อสารจากใจ (I Message) และการให้พื้นที่ส่งเสียง (Echo Chamber) ร่วมกับแนวคิดที่ว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างกัน คือ พื้นที่แห่งการเรียนรู้ที่จะทำให้เราทุกคนพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามโลกอยู่เสมอ ที่สำคัญคือ การสื่อสารกันด้วยเหตุและผล ไม่ใช้อารมณ์หรืออคติ และอย่าถอดใจที่จะสื่อสารปรับความเข้าใจกัน จะช่วยให้โลกแห่งความต่างกลมกลืนไปด้วยกันได้”
ป้าพิม-คุณเพลินพิศ เรียนเมฆ เจ้าของร้านกาแฟสุดฮิป Mother Roaster ผู้สูงวัยผู้ทำตามความฝันของตนเองในวัย 70 ปี ที่ต้องพบปะกับลูกค้าวัยรุ่น รวมถึงการเป็นคุณย่าของหลานๆ ที่มักมีปัญหาเรื่องเพศและเรื่องการใช้ชีวิตของคนต่างยุคมาให้ถกเถียง
“เราเป็นคนค่อนข้างทันสมัย รู้เท่าทันโลกและสังคม เพราะเรามีลูกและหลาน จึงเข้าใจดีกว่าช่องว่างระหว่างวัยเป็นอย่างไร เด็กมักคิดว่าผู้ใหญ่ดูคุยด้วยยาก อยู่บนหิ้ง จึงมักไม่กล้าพูดกับผู้ใหญ่ตรงๆ ซึ่งปัจจัยก็อยู่ที่ตัวผู้ใหญ่มีความสนิทสนมกับลูกหลานมากแค่ไหน และที่สำคัญคือไม่ควรพูดกับเด็กว่า “ฉันรู้ ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน” ส่วนเด็กหากอยากจะสื่อสารกับผู้ใหญ่ ควรใช้ภาษาง่ายๆ ที่เข้าใจง่าย และพูดตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม และไม่ควรพูดกับผู้สูงวัยว่า “แก่แล้ว ไม่เข้าใจหรอก”
เราคิดว่าแต่ละคนก็มีชุดความคิดไม่เหมือนกัน ทุกคนคิดในสิ่งที่ตัวเองคิด และทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ แต่หากเราเปิดใจมองอย่างรอบด้านและเข้าใจ ก็จะทำให้เราได้เรียนรู้ และสนใจที่จะอยากรู้ว่าเด็กแต่ละวัยเขามีความคิดอย่างไร ทำอย่างไรให้เราได้เรียนรู้จากเขา และเขาได้เรียนรู้จากเรา สิ่งที่จะช่วยได้ดีคือ หยุด และฟัง กันทั้งสองฝ่าย